การเขียนบทละคร
บทละครเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อใช้ในการแสดงละคร มีองค์ประกอบเช่นเดียวกับการเขียนเรื่องสั้นหรือนวนิยาย แต่ต่างกันที่วัตถุประสงค์ คือ บทละครนั้นแต่งขึ้นเพื่อการแสดง แต่เรื่องสั้นและนวนิยายแต่งขึ้นเพื่อการอ่าน เรื่องสั้นหรือนวนิยายบางเรื่อง อาจดัดแปลงมาเป็นบทละครได้
บทละครไทยแต่เดิม แต่งเป็นร้อยกรอง เรียกว่า "กลอนบทละคร" ซึ่งเล่นเป็นละครรำ อันได้แก่ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน แต่ต่อมาได้ปรับรูปแบบละครพูดจากวัฒนธรรมตะวันตก จึงได้มีการแปลและดัดแปลงบทละครพูดจากภาษาอังกฤษ มาเป็นบทละครภาษาไทย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) โปรดการละครพูดมาก ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูดไว้ หลายสิบเรื่อง ทั้งยังเป็นองค์แสดงและตั้งคณะละครศรีอยุธยารมย์ขึ้น ในสมัยพระบาทสมเด็จเกล้าเจ้าอยู่หัว การละครพูดรุ่งเรืองมาก ด้วยพระปรีชาสามารถในการละครพูดพระองค์จึงได้รับ การถวายสมญาว่า "บิดาแห่งละครพูด" บทละครนั้นมีมากมายหลายชนิด เช่น บทละครรำ อันได้แก่ บทละครชาตรี บทละครนอก บทละครใน บทละครพันทาง บทละครดึกดำบรรพ์ นอกจากนี้ยังมีบทละครร้อง บทละครพูด บทละครโทรทัศน์ และบทภาพยนตร์ เป็นต้น ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะบทละครพูด เพื่อเป็นแนวทาง ที่จะศึกษาและพัฒนาการเขียน บทละครประเภทอื่น ๆ ต่อไป
การเขียนนิทาน นิทาน คือ เรื่องเล่าสืบต่อกันมา เป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุด กล่าวกันว่านิทานมีกำเนิดพร้อม ๆ กับครอบครัวของมนุษยชาติ มูลเหตุที่มาแต่เริ่มแรก คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแล้วเล่าสู่กันฟัง มีการเพิ่มเติมเสริมแต่งให้พิสดารมากยิ่งขึ้น จนห่างไกลจากเรื่องจริง กลายเป็นนิทานไป การเขียนนิทาน เป็นการเขียนจากจินตนาการ ผู้เขียน จะต้องมีศิลปะในการเขียนโดยเขียนให้สนุกและมีคุณค่าแก่ผู้อ่าน | |
การเขียนนวนิยาย
นวนิยายเป็นเรื่องสมมติที่เขียนอย่างสมจริง มีโครงเรื่องซับซ้อน เสนอแนวคิดได้กว้างขวางกว่าเรื่องสั้น มีตัวละครหลายตัว ดำเนินเรื่องได้ยาว ให้รายละเอียดของฉากและตัวละครได้มากกว่าเรื่องสั้น
ซึ่งชนิดของนวนิยายอาจจำแนกได้ดังนี้
นวนิยายเป็นเรื่องสมมติที่เขียนอย่างสมจริง มีโครงเรื่องซับซ้อน เสนอแนวคิดได้กว้างขวางกว่าเรื่องสั้น มีตัวละครหลายตัว ดำเนินเรื่องได้ยาว ให้รายละเอียดของฉากและตัวละครได้มากกว่าเรื่องสั้น
ซึ่งชนิดของนวนิยายอาจจำแนกได้ดังนี้
๑. นวนิยายสำรวจโลก
๒. นวนิยายเชิงประวัติศาสตร์ (อิงประวัติศาสตร์) ๓. นวนิยายลูกทุ่ง ๔. นวนิยายใช้ฉากในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ๕. นวนิยายมหัศจรรย์ ๖. นวนิยายชีวประวัติหรืออัตชีวประวัติ ๗. นวนิยายแนวจิตวิทยา ๘. นวนิยายมนุษยธรรม ๙. นวนิยายนักสืบและอาชญากรรม ๑๐. นวนิยายโรแมนติก ๑๑. นวนิยายระหว่างชาติ ๑๒. นวนิยายชีวิตครอบครัว |
องค์ประกอบของนวนิยาย
๑. แนวคิดของแกนของเรื่อง ๒. โครงเรื่องมีลักษณะซับซ้อน ๓. ตัวละคร ๔. ฉาก ๕. ถ้อยคำหรือบทสนทนา |
การเขียนเรื่องสั้น
เรื่องสั้นเป็นวรรณกรรมประเภทหนึ่ง ที่พัฒนาขึ้นจากอิทธิพลของงานเขียนทางประเทศตะวันตก โดยเขียนขึ้นจากจินตนาการ
ซึ่งมีความสมจริง (Realistic) มีขนาดสั้น ใช้ตัวละครน้อย
ดำเนินเรื่องรวดเร็วและมีจุดมุ่งหมายเดียว เรื่องสั้นเรื่องแรกของไทย คือ เรื่อง "นายจิตรกับนายใจสนทนากัน" ของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ลงพิมพ์ในหนังสือดรุโณวาทราวปี พ.ศ.๒๔๑๗
ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ ผู้นี้นับว่าเป็นผู้มีบทบาทเป็นอย่างมากในการสร้างสรรค์
เรื่องบันเทิงคดีสมัยใหม่ และเรื่องสั้นยุคบุกเบิกซึ่งเปลื้อง ณ นคร
ได้แบ่งเรื่องสั้นออกเป็น ๔ ชนิด คือ
เรื่องสั้นเป็นวรรณกรรมประเภทหนึ่ง ที่พัฒนาขึ้นจากอิทธิพลของงานเขียนทางประเทศตะวันตก โดยเขียนขึ้นจากจินตนาการ
ซึ่งมีความสมจริง (Realistic) มีขนาดสั้น ใช้ตัวละครน้อย
ดำเนินเรื่องรวดเร็วและมีจุดมุ่งหมายเดียว เรื่องสั้นเรื่องแรกของไทย คือ เรื่อง "นายจิตรกับนายใจสนทนากัน" ของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ลงพิมพ์ในหนังสือดรุโณวาทราวปี พ.ศ.๒๔๑๗
ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ ผู้นี้นับว่าเป็นผู้มีบทบาทเป็นอย่างมากในการสร้างสรรค์
เรื่องบันเทิงคดีสมัยใหม่ และเรื่องสั้นยุคบุกเบิกซึ่งเปลื้อง ณ นคร
ได้แบ่งเรื่องสั้นออกเป็น ๔ ชนิด คือ
๑. เรื่องสั้นชนิดผูกเรื่อง (Plot story)
๒. เรื่องสั้นชนิดเพ่งเล็งที่จะแสดงลักษณะของตัวละคร (Charater Story) ๓. เรื่องสั้นชนิดที่ถือฉากเป็นส่วนสำคัญ (Atmosphere Story) ๔. เรื่องสั้นชนิดที่แสดงแนวความคิดเห็น (Theme Story) |
องค์ประกอบของเรื่องสั้น
๑. แนวคิดหรือแกนของเรื่อง๒. โครงเรื่องต้องมีลักษณะกะทัดรัด
๓. ตัวละคร ๔. ฉากต้องมีความสมจริง ๕. ถ้อยคำหรือบทสนทนา |
ลักษณะของเรื่องสั้น
1. มีโครงเรื่อง คือมีกลวิธีในการแสดงพฤติกรรมของตัวละคร
ซึ่งอาจเป็น คน สัตว์ สิ่งของ โดยทั่วไปมักใช้โครงเรื่องของความขัดแย้งเพื่อเร้าใจให้ผู้อ่านคิดตาม
2. มีจุดมุ่งหมายของเรื่องเพียงอย่างเดียว โดยมีแกนเรื่อง (Theme) เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งอาจเป็นความคิดหรือทัศนะแง่ใดแง่หนึ่งเท่านั้น
เช่น การผจญภัย การดิ้นรนต่อสู้ความไม่แน่นอนของชีวิตมนุษย์
3. มีตัวละครน้อย 1-3 ตัว 4. ใช้เวลาน้อย โดยทั่วไปเรื่องสั้นสามารถอ่านจบภายใน 15 นาที
ถึง 50 นาที
5. มีขนาดสั้น การบรรยายตามท้องเรื่องนั้นไม่ยืดยาด การนำเสนอด้วยคำประมาณ 1000 ถึง 10000 คำเป็นการเสนอที่พอเหมาะ อย่างไรก็ตามการกำหนดคำนั้นไม่มีการจำกัดลงไปแน่นอน ดังนั้นจึงมีเรื่องสั้น - สั้น (Short-Short Story) และเรื่องสั้นที่มีขนาดยาวกว่าธรรมดา เรียกว่า
เรื่องสั้นขนาดยาว (Long Short Story)
1. มีโครงเรื่อง คือมีกลวิธีในการแสดงพฤติกรรมของตัวละคร
ซึ่งอาจเป็น คน สัตว์ สิ่งของ โดยทั่วไปมักใช้โครงเรื่องของความขัดแย้งเพื่อเร้าใจให้ผู้อ่านคิดตาม
2. มีจุดมุ่งหมายของเรื่องเพียงอย่างเดียว โดยมีแกนเรื่อง (Theme) เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งอาจเป็นความคิดหรือทัศนะแง่ใดแง่หนึ่งเท่านั้น
เช่น การผจญภัย การดิ้นรนต่อสู้ความไม่แน่นอนของชีวิตมนุษย์
3. มีตัวละครน้อย 1-3 ตัว 4. ใช้เวลาน้อย โดยทั่วไปเรื่องสั้นสามารถอ่านจบภายใน 15 นาที
ถึง 50 นาที
5. มีขนาดสั้น การบรรยายตามท้องเรื่องนั้นไม่ยืดยาด การนำเสนอด้วยคำประมาณ 1000 ถึง 10000 คำเป็นการเสนอที่พอเหมาะ อย่างไรก็ตามการกำหนดคำนั้นไม่มีการจำกัดลงไปแน่นอน ดังนั้นจึงมีเรื่องสั้น - สั้น (Short-Short Story) และเรื่องสั้นที่มีขนาดยาวกว่าธรรมดา เรียกว่า
เรื่องสั้นขนาดยาว (Long Short Story)
6. มีความกระชับรัดกุมทุกด้าน ใช้คำน้อย แต่ให้ได้ความมากที่สุด เพียบพร้อมด้วยอรรถรสอันเข้มข้น ดื่มด่ำ การเขียนเรื่องสั้นนั้น ผู้เขียนจะเลือกเขียนในแนวใดก็ขึ้นอยู่กับความถนัด ประสบการณ์ อุปนิสัย และอารมณ์จินตนาการ เพราะแต่ละคน
ย่อมมีความแตกต่างกัน จงสำรวจตัวเองด้วยการอ่านงานเขียน
ให้กว้างขวาง หลายแบบ หลายแนว หลายผู้เขียน แล้วจะพบว่า
เราชอบแนวใด จากนั้นก็ลองเขียนเลียนต้นแบบ ในเบื้องต้น เมื่อเห็นว่าสามารถทำได้อย่างนั้น ก็ค่อยพัฒนางาน และสร้างเอกลักษณ์ของตนเองขึ้นมาใหม่
ผู้ที่หัดเขียนเรื่องใหม่ ๆ ต้องอ่านหนังสือให้มาก เขียน
พราะการอ่านกับการเขียนเป็นทักษะที่สัมพันธ์กัน และตระหนักว่า
ไม่มีนักเขียนคนใดจะสร้างงานเขียน ของตนเองได้
โดยไม่อ่านหนังสือ
ย่อมมีความแตกต่างกัน จงสำรวจตัวเองด้วยการอ่านงานเขียน
ให้กว้างขวาง หลายแบบ หลายแนว หลายผู้เขียน แล้วจะพบว่า
เราชอบแนวใด จากนั้นก็ลองเขียนเลียนต้นแบบ ในเบื้องต้น เมื่อเห็นว่าสามารถทำได้อย่างนั้น ก็ค่อยพัฒนางาน และสร้างเอกลักษณ์ของตนเองขึ้นมาใหม่
ผู้ที่หัดเขียนเรื่องใหม่ ๆ ต้องอ่านหนังสือให้มาก เขียน
พราะการอ่านกับการเขียนเป็นทักษะที่สัมพันธ์กัน และตระหนักว่า
ไม่มีนักเขียนคนใดจะสร้างงานเขียน ของตนเองได้
โดยไม่อ่านหนังสือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น