วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การ์ตูนไทย

               การ์ตูนไทย ประวัติจากคำบอกเล่า เริ่มต้นจากเป็นการ์ตูนแนวนิยายพื้นบ้าน ผี และแนวจักร ๆ วงศ์ ๆ ราคาเล่มละหนึ่งบาท โดยมีนักเขียนการ์ตูนที่มีชื่อเสียงสมัยนั้น เช่น จุก เบี้ยวสกุล ต่อมาเริ่มมีการ์ตูนแนวตลกสั้น ๆ ในลักษณะ การ์ตูน 3 ช่องจบ ออกมาเพิ่ม เช่น เบบี้ หนูจ๋า ขายหัวเราะ และ มหาสนุก ส่วนการ์ตูนไทยในลักษณะมังงะอย่างที่พบเห็นทั่วไปในปัจจุบันนั้น น่าจะมีมาไม่ถึงยี่สิบปี โดยนิตยสารการ์ตูนไทยในแนวมังงะยุคบุกเบิกได้แก่ ไทคอมมิค (Thai Comic) ของสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ และ เอ-คอมมิค (a-comic) และ cartoon thai studio ของ สยามอินเตอร์คอมมิค


ยุคแรก

 
ภาพล้อฝีมือขุนปฏิภาคพิมพ์ลิขิต (เปล่ง ไตรปิ่น) นักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองคนแรกของไทย

 
ปกหนังสือการ์ตูนเล่มละบาทของสำนักพิมพ์บางกอกสาส์นวาดโดย ชายชล ชีวิน

 
ปกการ์ตูนนิยายภาพเรื่อง "อวสานอินทรีแดง" จัดจำหน่ายโดย สำนักพิมพ์บรรลือสาส์น วาดโดย ราชันย์ (ภาพจากนิตยสาร "รู้รอบตัว" ฉบับที่ 50 มีนาคม 2533)

            ประวัติศาสตร์การ์ตูนไทยเริ่มจากการเข้ามาของวิทยาการเขียนภาพแบบตะวันตก ซึ่งขรัวอินโข่ง จิตรกรในสมัยรัชกาลที่ 3 - รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้นำมาใช้เป็นคนแรกในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังลักษณะเหมือนจริง หลายคนจึงถือกันว่าท่านเป็นนักเขียนการ์ตูนไทยคนแรกต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ภาพล้อหรือการ์ตูนในเมืองไทยเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะแนวการ์ตูนล้อการเมือง ยุคนี้ได้มีนักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองคนแรกเกิดขึ้น คือ ขุนปฏิภาคพิมพ์ลิขิต (เปล่ง ไตรปิ่น) แม้รัชกาลที่ 6 เองก็โปรดการ์ตูนลักษณะดังกล่าว ดังปรากฏหลักฐานว่า มีภาพวาดฝีพระหัตถ์ล้อเหล่าเสนาบดีและข้าราชบริพารในพระองค์อยู่เสมอๆ ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ดุสิตสมัย ถึงสมัยรัชกาลที่ 7 วงการการ์ตูนซบเซาลงเนื่องจากพิษเศรษฐกิจ จนถึง พ.ศ. 2475 ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำให้นักเขียนการ์ตูนมีเสรีภาพในการเสนอความคิดเห็นมากขึ้น จึงมีนักเขียนการ์ตูนดังๆ เกิดขึ้นในยุคนี้หลายคน อาทิ สวัสดิ์ จุฑะรพ ผู้นำเรื่องสังข์ทองมาวาดเป็นการ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกของประเทศไทย ลงในหนังสือพิมพ์สยามราษฎร์ และเจ้าของตัวการ์ตูน "ขุนหมื่น" ซึ่งดัดแปลงมาจากป๊อบอายและมิกกี้ เมาส์ โดยเป็นตัวตลกแทรกอยู่ในการ์ตูนจักรๆ วงศ์ๆ เรื่องต่างๆ ต่อมานักเขียนการ์ตูนคนอื่นๆ จึงสร้างการ์ตูนตัวหลักของตัวเองขึ้นมาบ้าง นอกจากนี้ยังมีนักเขียนการ์ตูนแนวเดียวกับ สวัสดิ์ จุฑะรพ คนอื่นๆ เช่น วิตต์ สุทธิเสถียร จำนงค์ รอดอริ ส่วนนักเขียนในยุคเดียวกันแต่วาดคนละแนวก็มีเช่นกัน เป็นต้นว่า ฉันท์ สุวรรณบุณย์ ผู้บุกเบิกการ์ตูนสำหรับเด็กเป็นคนแรกของประเทศไทย
          ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การ์ตูนไทยซบเซาลงจากภัยสงครามเช่นเดียวกับวงการวรรณกรรม เมื่อสิ้นสงครามแล้ว วงการการ์ตูนไทยจึงฟื้นตัวอีกครั้ง ในยุคนี้ปรากฏนักเขียนการ์ตูนที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น ประยูร จรรยาวงษ์ นักเขียนการ์ตูนเจ้าของฉายา "ราชาการ์ตูนไทย" ซึ่งวาดทั้งการ์ตูนตลกและการ์ตูนการเมือง ในยุคเดียวกันนี้ก็มีนักวาดภาพประกอบผู้โด่งดังซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปคือ เหม เวชกร ซึ่งน้อยคนนักจะรู้ว่าท่านก็วาดการ์ตูนด้วยเหมือนกัน พ.ศ. 2495 ได้มีการ์ตูนสำหรับเด็กเกิดขึ้นเป็นเล่มแรก คือ หนังสือการ์ตูน "ตุ๊กตา" อันเป็นผลงานของพิมล กาฬสีห์ มีตัวละครหลักสี่คน คือ หนูไก่ หนูนิด หนูหน่อย และหนูแจ๋ว และประสบความสำเร็จอย่างสูง (เลิกออกประมาณ พ.ศ. 2530 เนื่องจากพิมล กาฬสีห์ เสียชีวิต) หลังจากนั้นจึงมีการ์ตูนสำหรับเด็กออกมาอีกหลายเล่ม เช่น การ์ตูน "หนูจ๋า" ของ จุ๋มจิ๋ม (จำนูญ เล็กสมทิศ) ซึ่งเริ่มวางแผงเล่มแรกเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2500 และที่ได้รับความนิยมตามมาอีกเล่มก็คือการ์ตูน "เบบี้" ของ วัฒนา เพ็ชรสุวรรณ ซึ่งเริ่มวางแผงฉบับแรกเมื่อ พ.ศ. 2504 ตัวการ์ตูนหลักของเบบี้นั้นมีมากถึงสิบกว่าคน บางตัวก็มีการนำไปแสดงหนังโฆษณาก็มี คือคุณโฉลงและคุณเต๋ว หนังสือทั้งสองเล่มนี้อยู่ในเครือสำนักพิมพ์บรรลือสาส์น และยังคงออกมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้แล้วก็ยังมีหนังสือการ์ตูนสำหรับเด็กที่แฝงสาระมากอีกเล่มหนึ่งก็คือ ชัยพฤกษ์การ์ตูน ซึ่งมี ทาร์ซานกับเจ้าจุ่น เป็นตัวชูโรง ผู้วาดก็คือ รงค์ นักเขียนการ์ตูนนิยายภาพที่สร้างชื่อเสียงในชัยพฤกษ์การ์ตูน อย่างเช่น เตรียม ชาชุมพร ที่เขียนเรื่อง "เพื่อน" โอม รัชเวทย์ สมชาย ปานประชา พล พิทยกุล เฉลิม อัคภู ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้ได้ปิดตัวไปแล้วนักเขียนคนอื่นที่มีชื่อเสียงร่วมสมัยได้แก่ พ.บางพลี (เจ้าของผลงานเรื่อง อัศวินสายฟ้า และศรีธนญชัย), ราช เลอสรวง, จุก เบี้ยวสกุล ฯลฯ ซึ่งในยุคนี้ส่วนมากจะนิยมวาดการ์ตูนเรื่อง บางเรื่องยาวเป็นร้อยๆ หน้า นับว่าเป็นยุคทองของการ์ตูนเรื่องทีเดียวมายุคต่อเนื่องจาก ชัยพฤกษ์การ์ตูน กลุ่มนักการ์ตูนแนวหน้า 5 ท่าน มารวมกลุ่มกันใหม่ชื่อว่า กลุ่มเบญจรงค์ เปิดเป็นสำนักงานเล็กแถวสีแยกเสือป่า ถนนเจริญกรุง โดยมี เตรียม ชาชุมพร, โอม รัชเวทย์, สมชาย ปานประชา, พล พิทยกุล, เฉลิม อัคภู ทำหนังสือการ์ตูนรายเดือน ขึ้นมา ชื่อ "เพื่อนการ์ตูน" อยู่ในตลาดได้พักใหญ่ก็ปิดตัวลง ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ก็มีกล่มทำงานเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ซึ่งห้องข้างๆของ กลุ่มเบญจรงค์ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสำนักพิมพ์คุณภาพผลิตหนังสือสำหรับเด็กมากมายนั่นคือสำนักพิมพ์ห้องเรียนโดยคนคุณภาพอย่าง คุณศิวโรจน์, คุณเล็ก เป็นกำลังสำคัญตั้งแต่เริ่มต้นยุคที่เงียบหายการ์ตูนไทยยังแอบทำหน้าที่เงียบๆ ตามซอกหลืบ เป็นการ์ตูนราคาถูกที่พอให้ผู้อ่านหาซื้อได้โดยเบียดเบียนเงินในกระเป๋าให้น้อยที่สุด อาจจะลดคุณภาพลงบ้างตามความจำเป็น นี่คือยุคของ "การ์ตูนเล่มละบาท" โดยเริ่มเกิดขึนครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์สากล ต่อมาหลายสำนักพิมพ์ก็ทำตามออกมา สำนักพิมพ์สุภา, บางกอกสาส์น, สำนักพิมพ์สามดาว เป็นต้น นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่การ์ตูนทำหน้าที่เพื่อต่อผ่านไปยังการ์ตูนยุคต่อมา แม้กระนั้นนักเขียนการ์ตูนยุคนั้นก็ฝากฝีมือไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมหลายท่านด้วยก้น เช่น นักรบ รุ่งแก้ว, รุ่ง เจ้าเก่า, ชายชล ชีวิน, แมวเหมียว, ราตรี, น้อย ดาวพระศุกร์, ดาวเหนือ, เพลิน, เทพบุตร, มารุต เสกสิทธิ์, นอม เป็นต้น โดยบางครั้งก็ได้นักเขียนการ์ตูนที่มีชื่อเสียงในยุคก่อนหน้านั้นช่วยเขียนปกให้ เพื่อเสริมคุณภาพขึ้นอีกระดับหนึ่ง เช่น จุก เบี้ยวสกุล เป็นเหตุทำให้การ์ตูนเล่มละบาท ได้รับความนิยมขึ้นเป็นอย่างมากในยุคหนึ่ง จนสามารถทำให้คำว่า"การ์ตูนเล่มละบาท" กลายเป็นตำนาน เป็นชื่อเฉพาะ และเป็นสัญลักษณ์ ที่เรียกกันมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นสไตล์การ์ตูนที่มีลักษณะเฉพาะสำนักพิมพ์ที่เป็นแหล่งรวมของนักเขียนการ์ตูน มีมากมาย เช่น บางกอกสาส์น, ชนะชัย การ์ตูนเล่มละบาทนี้เป็นที่ฝึกฝนฝีมือของนักเขียนการ์ตูนหน้าใหม่ นักเรียนศิลปะที่ต้องการหารายได้ในระหว่างเรียนหนังสือ ปัจจุบันหลายท่านกลายเป็นนักเขียนการ์ตูนคุณภาพระดับแนวหน้าของเมืองไทยแนวเรื่องของการ์ตุนเล่มละบาท มีทั้งเรื่องชีวิต, เรื่องผี, เรื่องตลก, นิทาน, เซ็กซ์ โดยเฉพาะเรื่อง "ผี" เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมอย่างมากของผู้อ่าน เป็นความตื่นเต้นแบบง่ายๆ ที่ใกล้ชิดชาวบ้านมากที่สุด
ยุคปัจจุบัน
ปัจจุบัน การ์ตูนไทยที่ถือได้ว่าครองใจคนทุกเพศทุกวัยเป็นอันดับหนึ่งของประเทศในเวลานี้ก็คือ ขายหัวเราะ-มหาสนุก ในเครือสำนักพิมพ์บรรลือสาส์น ซึ่งแนวทางการ์ตูนจะเป็นการ์ตูนประเภทการ์ตูนแก๊กและการ์ตูนเรื่องสั้นจบในตอนเป็นส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันก็เริ่มมีการพัฒนาการ์ตูนไทยรูปแบบคอมมิคขึ้น จากกลุ่มคนที่มีประสบการณ์การอ่านการ์ตูนแนวมังงะของญี่ปุ่น เท่าที่ปรากฏในเวลานี้ สำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์การ์ตูนไทยแนวดังกล่าวได้แก่ สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ สำนักพิมพ์บุรพัฒน์ และสำนักพิมพ์เนชั่นเอ็ดดูเทนเมนท์ ตลาดของการ์ตูนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เน้นที่กลุ่มวัยรุ่น ในขณะที่การ์ตูนนิยายภาพแบบดั้งเดิมยังคงมีการผลิตอยู่เรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะอิงกับตลาดระดับล่าง เช่นหนังสือเล่มละบาท ซึ่งปัจจุบันปรับตัวมาขายในราคาเล่มละห้าบาทการ์ตูนในเมืองไทยเริ่มพัฒนาต่อเนือง หลังจากการ์ตูนแนวญี่ปุ่นเข้ามากระตุ้นตลาดการ์ตูนไทยในช่วงหลายปี่ที่ผ่าน นักวาดการ์ตูนที่เป็นเด็กรุ่นไหม่ได้ซึมซับการ์ตูนแนวมังงะจนเกิดการ์ตูนแนวนี้ขึ้นมาอย่างแพร่หลายในตลาด มีหลายสำนักพิมพ์ที่เป็นหัวหอกสำคัญทำหนังสือการ์ตูนไทยในแนวมังงะ เช่นไทยคอมมิก ของวิบูลย์กิจ การตอบรับของผู้อ่านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงเกิดเหตุการณ์การ์ตูนแนวมังงะฟรีเวอร์ เกิดการ์ตูนความรู้ในรูปแบบการ์ตูนภาพเกิดขึ้น เช่นเรื่อง รามเกียรติ ซึ่งประสบความสำเร็จขายดีถล่มทลาย จนมีหนังสือในแนวนี้ออกมาเต็มตลาดอย่างที่เห็นในปัจจุบัน กระตุ้นให้เกิดนักวาดการ์ตูนมากมายซึ่งเป็นผลดีต่อวงการเป็นอย่างมาก อีกช่วงของการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดของการ์ตูนไทย คือการ์ตูนที่ไม่เป็นแนวตลาดซึ่งพัฒนาแยกออกจากการ์ตูนแนวมังงะอีกที มีลักษณะการออกแบบมีความเป็นเฉพาะมากขึ้น แนงเรื่องก็เฉพาะเจาะจงมากขึ้น กำลังได้รับความนิยมของคนอ่านขึ้นเรื่อยๆ สังเกตได้จากเกิดหนังสือการ์ตูนรายเดือนวางตลาด เช่น หนังสือชื่อ"Lets" ในกลุ่มของสตาร์พิค และกำลังจะออกมาอีกหลายๆเล่มในขณะที่การ์ตูนญี่ปุ่นเข้ามาในไทยก็ได้มีชนกลุ่มหนึ่งอยากผลิดการ์ตูนขึ้นเองบ้างแต่ก็มีลายเส้นป็นเอกลักษ์เฉพาะตัวจะเห็นได้จากพวกที่วางขายของ hand made ตามถนนแต่บางพวกก็ส่งผลงานเข้าสำนักพิมพ์ที่อยู่ในไทยก็มี เช่น สำนักพิมพ์ NED สำนักพิมพ์ จิณนา สตูดิโอ สำนักพิมพ์บงกช พับลิชชิ่ง ก็มี ปัจจุบันมีการสอนวาดรูปการ์ตูนชนิดนี้มากขึ้น โดยสื่ออินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาฝีมือโดยอาศัยแลกภาพกันติชมวิจารณ์ผ่านเว็บบอร์ด หรือสร้างเว็บไซต์แสดงผลงานกันในอินเทอร์เน็ต อีกทั้งงานประจำปีของการ์ตูนปัจจุบันมีมากมายหลากหลายไม่แต่เฉพาะในกรุงเทพ ยังขยายไปตามต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น มังงะคือการ์ตูนที่ชาวญี่ปุ่นพัฒนาขึ้นในช่วงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยญี่ปุ่นที่แพ้สงครามได้รับอิทธพลจากการ์ตูนของอเมริกาที่นำเข้ามาพร้อมกับอเมริกาในสมัยนั้นต่อมา เท็ตสึกะ โอซามุ เป็นคนแรกที่นำการเล่าเรื่องคล้ายกับภาพยนตร์มาใช้ในนิยายภาพจนเกิดสไตล์การเล่าเรื่องที่สมจริงคล้ายภาพยนตร์ ชาวญี่ปุ่นจึงใช้วิธีการเล่าเรื่องลักษณะนี้จะพัฒนามาเป็นมังงะในปัจจุบันแนวมังงะในไทย คือ การ์ตูนไทยที่ได้รับอิทธิพลการวาด การเล่าเรื่อง การออกแบบตัวละครแบบมังงะดังที่อธิบายไปข้างต้น
ภาพยนตร์การ์ตูนไทย
         สุดสาคร ถือได้ว่าเป็น ภาพยนตร์การ์ตูนไทยเรื่องแรก เกิดขึ้นหลังจากสงครามโลก ครั้งที่ 2 สงบไปไม่นาน ก่อนที่จะมี ก้านกล้วย, ประวัติพระพุทธเจ้า และ นาค ดังที่รู้จักกันในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ได้กล่าวถึงแอนิเมชันของไทยว่า ยังไม่ได้รับการแก้ไขในเรื่องของการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเร็วเกินไปในฉากแอ็คชั่น
การตอบรับ
เดิมที หลายคนต่างมีความเห็นว่าวงการการ์ตูนไทยอาจไปไม่รอด แต่ในปัจจุบัน การ์ตูนไทยได้เป็นสื่อที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง รวมทั้ง มีนักเขียนการ์ตูนชาวไทยหลายรายที่ประสบความสำเร็จโดยสามารถสร้างชื่อเสียงในต่างแดน  และวีรวิชญ์ ธนพงศ์ทวีวุฒิ ซึ่งเป็นนักวาดการ์ตูนไทยเจ้าของนามปากกา ปีกนกบูรพา ได้ให้สัมภาษณ์กับทางมติชนว่า ปัจจุบัน ภาพลักษณ์ของวงการการ์ตูนไทยดีกว่าที่มีอยู่เดิมเป็นอย่างมาก โดยเริ่มได้รับความนิยมตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2553 - 2554 ซึ่งมีการจ้างงานและจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อนที่ภาพพจน์ของนักเขียนการ์ตูนไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ก่อนที่กลุ่มนักเขียนการ์ตูนได้ร่วมกันช่วยยกระดับให้ดีขึ้นในเวลาต่อมา ด้านนิรันดร์ บุญยรัตพันธุ์ หรือที่รู้จักกันดีในฉายาน้าต๋อย เซมเบ้ ได้แสดงข้อคิดเห็นว่านักวาดการ์ตูนไทยต่างมีฝีมือระดับนานาชาติ หากแต่ยังคงมีอุปสรรคในเรื่องของเงินทุน และช่องทางในการเผยแพร่ กระทั่งในเวลาต่อมา การ์ตูนไทยเป็นที่โดดเด่นสำหรับนานาประเทศมากขึ้น โดยมีการ์ตูนไทยหลายเรื่องที่ได้รับรางวัลการ์ตูนระดับนานาชาติที่ประเทศญี่ปุ่นอยู่หลายรางวัล

เทคนิคการเตรียมสอบ

       
           หลายคนใกล้สอบ จะใช้เทคนิคนี้ในการเตรียมตัวสอบทั่วไป หรือสอบ A-NET, O-NET ก็ไม่ว่ากันนะคะ ยังก็ขอให้สอบผ่านกันถ้วนหน้าแล้วกัน เริ่มกันเลยแล้วกัน วันนี้มี 4 เคล็ดลับมาฝากค่ะ
1. ทำตารางสอบ
       โดยจดวันและเวลาที่สอบไว้ให้ชัดเจน
2. อ่านตำราโดยจัดลำดับตามตารางสอบ (ในข้อ 1)
        โดยเริ่มอ่านจากวิชาที่สอบวันแรก ไปจนถึงวันสุดท้าย และควรอ่านให้จบก่อนถึงวันสอบประมาณ 4 วันหรือมากว่านั้น และอ่านทบทวนอีกครั้งในวันสุดท้ายก่อนที่จะถึงวันสอบวิชานั้นๆ
3. พูดคุยกับเพื่อนๆ
         ไม่ใช่ชวนกันคุยเรื่องแฟชั่น เสื้อผ้า ดูหนัง หรือฟังเพลงนะคะแต่เป็นการพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาที่เราจะสอบ ถ้าจะให้ดีควรหากลุ่มเพื่อนสนิทแล้วเริ่มอ่านหนังพร้อมกัน และเมื่ออ่านจบก็ควรซักถามในส่วนที่ยังไม่เข้าใจเพื่อจะได้เป็นการทบทวนความรู้ให้เพื่อนและเพื่อเพิ่มความเข้าใจให้แก่ตนเองด้วย
4. ค้นคว้าเพิ่มเติม
          ในกรณีที่เรายังเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านอย่างถ่องแท้เราก็ควรค้นคว้าเพิ่มเติมจากตำรา หรือว่าอาจารย์ผู้สอนรายวิชานั้นๆ และจดบันทึกข้อควรจำที่สำคัญๆ เพื่อทำความเข้าใจก่อนสอบ

การเตรียมตัวก่อนการสอบ
          ปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้นักเรียนมีความสำเร็จในการสอบ คือ การที่นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการจัดสอบ และมีข้อมูลการสอบของตนเองที่ถูกต้อง ชัดเจน
ตรวจสอบรายละเอียดของกำหนดการสอบ
        นักเรียนควรตรวจสอบรายละเอียดของกำหนดการสอบของตนเองในใบแจ้งกำหนดการสอบให้ชัดเจน
เตรียมอุปกรณ์และหลักฐานแสดงตนเพื่อเข้าสอบ

          อุปกรณ์ที่ใช้สอบ ได้แก่ ปากกา ดินสอดำที่มีความเข้มอย่างน้อยเบอร์ 2 หรือ 2 B, BB ดินสอดำ (ไม่ควรใช้ดินสอดำที่มีไส้แข็งหรืออ่อนกว่าที่กำหนด) ยางลบ และที่เหลาดินสอ
หลักฐานแสดงตนเพื่อเข้าสอบ คือ บัตรประจำตัวนักเรียน เพื่อแสดงตนต่อกรรมการคุมสอบ
ในกรณีที่ขาดบัตรประจำตัวนักเรียน ให้ติดต่อฝ่ายกิจการนักเรียน เพื่อขอทำบัตรเข้าสอบชั่วคราว  
การปฏิบัติตนในการเข้าสอบ
           แต่งกายให้สุภาพ นักเรียนต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย สำรวจข้อสอบเมื่อกรรมการคุมสอบให้สัญญาณลงมือสอบ ให้นักเรียน ตรวจดูชื่อ-รหัสวิชา จำนวนหน้า และจำนวนข้อของข้อสอบ อ่านคำแนะนำและข้อปฏิบัติในการทำข้อสอบอย่างรอบคอบ หากแบบทดสอบหน้าใดพิมพ์ไม่ชัดเจนอ่านไม่ออก หรือนักเรียนมีปัญหาอื่น ๆ ให้รีบแจ้งกรรมการคุมสอบ ทันที กรอกข้อมูลของตนเองให้ชัดเจน สำหรับการตอบข้อสอบปรนัย กรอกรายละเอียดบนหัวกระดาษคำตอบและฝนรหัสประจำตัวนักเรียนให้ถูกต้อง ชัดเจน
สำหรับการตอบข้อสอบอัตนัย ควรเขียนชื่อ เลขที่ ในกระดาษคำตอบใหถูกต้องชัดเจน
การตอบข้อสอบปรนัย
      ข้อสอบปรนัย มี 4 ตัวเลือก หรือ 5 ตัวเลือก โดยที่แต่ละข้อจะมีคำตอบที่ถูกต้อง ที่สุดเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น นักเรียนจะต้องพิจารณาตัวเลือกต่างๆอย่างละเอียด รอบคอบ เพื่อเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
ข้อแนะนำสำหรับการตอบข้อสอบปรนัย
-  กรอกรายละเอียดบนหัวกระดาษคำตอบและฝนรหัสประจำตัวนักเรียนให้ถูกต้อง ชัดเจน

- อุปกรณ์ที่ใช้สอบ ได้แก่ ดินสอดำที่มีความเข้มอย่างน้อยเบอร์ 2 หรือ 2B ยางลบ และที่เหลาดินสอ
- สำรวจข้อสอบทั้งหมด เพื่อวางแผนในการใช้เวลาในการทำข้อสอบ และเพื่อเป็นการผ่อนคลายความวิตกกังวลในการสอบ อีกด้วย
- ควรอ่านคำสั่งและทำความเข้าใจกับข้อคำถามแต่ละข้ออย่างระมัดระวัง รอบคอบ พิจารณาตัวเลือกทุกตัวเลือกก่อนตัดสินใจเลือกตัวเลือกใดเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
- ในการฝนคำตอบในกระดาษคำตอบสำหรับข้อสอบปรนัย ต้องฝนให้เข้มจนมองไม่เห็นตัวเลขที่พิมพ์ไว้ในวงของตัวเลือก และฝนให้ดำเข้มเต็มวงเพียง 1ตัวเลือกเท่านั้น เมื่อนักเรียนเปลี่ยนคำตอบใหม่ ให้แก้ไขโดยใช้ยางลบลบคำตอบเก่าให้เกลี้ยงสะอาดแล้วจึงฝนคำตอบที่เลือกใหม่ เพราะการเลือกคำตอบ 2 คำตอบในข้อเดียวกัน เครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจข้อสอบจะให้คะแนนข้อนั้นศูนย์ทันที
- ไม่ควรใช้เวลากับข้อคำถามข้อใด ข้อหนึ่ง นานเกินไป หากยังไม่แน่ใจคำตอบ ให้ข้ามไปทำข้ออื่นก่อน และทำเครื่องหมายไว้ เมื่อมีเวลาเหลือจึงกลับมาพิจารณาใหม่
- ก่อนที่จะส่งข้อสอบและกระดาษคำตอบคืนกรรมการคุมสอบ ควรตรวจทานว่าทำข้อสอบได้ครบทุกข้อ และกรอกรายละเอียดได้ครบถ้วน ถูกต้อง
การตอบข้อสอบอัตนัย
        ข้อสอบอัตนัยจะนิยมใช้วัดพฤติกรรมการเรียนรู้ในระดับสูง เช่น ความเข้าใจ การประยุกต์ การแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์หรือการสังเคราะห์ ซึ่งต้องใช้ความรู้ในหลายๆ เรื่อง หลาย ๆ หน่วย แล้วนำมาบูรณาการเพื่อใช้ตอบปัญหาที่ถาม
ขัอแนะนำสำหรับการตอบข้อสอบอัตนัย
 กรอกรายละเอียดบนหัวกระดาษคำตอบ
เขียนตัวหนังสือให้ชัดเจน อ่านง่าย สะอาด และเป็นระเบียบเพื่อกรรมการตรวจข้อสอบจะได้อ่านออกและรวจคำตอบได้ชัดเจน
- อุปกรณ์ที่ใช้สอบ ได้แก่ ปากกา (ในการทำข้อสอบอัตนัยให้ใช้ปากกาเขียนตอบ)
- ควรมีการวางโครงเรื่อง โดยกำหนดคำตอบที่เป็นหลักการสำคัญของทุกประเด็นก่อนแล้วค่อยลงมือเขียน  คำตอบ และพยายามเรียบเรียงหัวเรื่องและตอบข้อสอบให้ถูกต้องครบทุกประเด็น เมื่อขึ้นประเด็นใหม่ควรย่อหน้าใหม่
-  ควรใช้ภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย กระชับ และไม่เยิ่นเย้อ วกวน
- ถ้ามีเวลาเหลือ ควรอ่านทบทวนคำตอบ และตรวจสอบว่า ตนเองเขียนตอบได้ตรงกับที่ต้องการจะตอบหรือไม่ ถ้ามีประเด็นคำถามหรือคำตอบที่สำคัญ

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การถนอมดวงตา

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การ่านถนอมดวงตา       

                 ตาเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย การถนอมดวงตาไว้ใช้งานได้นานและอยู่ในสภาพ ดีที่สุด จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งเป็นวิธีปฎิบัติดังนี้
                 1. อย่าใช้สายตานานเกินควร ถ้าจำเป็นควรพักสายตาบ่อย
                 2. การอ่านหนังสือ ต้องมีแสงสว่างเพียงพอ ควรมีแสงส่องจากทางซ้าย ค่อนไปหลังเล็กน้อย ตาควรห่างจากหนังสือประมาณ 1 ฟุต
                 3. การดูโทรทัศน์ ควรดูในห้องที่มีแสงสว่างพอสมควร และควรนั้งห่างจากโทรทัศน์ประมาณ 5 เท่าของของขนาดโทรทัศน์ เช่น โทรทัศน์ขนาด 14" (วัดทแยงมุม) ควรนั่งห่างจากโทรทัศน์ 14 x 5 = 70 " = 70/12 ฟุต = 5.83. = ประมาณ 6 ฟุต
                 4. เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา อย่าใช้มือขยี้ตา ควรใช้น้ำสะอาด หรือน้ำยาล้างตาล้างเอาฝุ่นออก
                 5. หลีกเลี่ยงการมองแสงจ้า เช่น ดวงอาทิตย์ ของสีขาวที่อยู่กลางแดดเพราะจะทำให้เซลล์ประสาทตาเสื่อมได้
                 6. ระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดกับตาได้ เช่น อย่าให้ของแหลมอยู่ใกล้ตา ไม่เล่นขว้างปาหรือยิงหนังยางใส่กัน
                 7. ไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่นแว่นตา ผ้าเช็ดหน้า เพราะอาจติดเชื้อได้
                 8. เวลานอนควรปิดไฟ เพื่อให้ดวงตาได้พักผ่อนเต็มที่
                 9. ควรกินอาหารที่ให้วิตามินเอประจำ เช่น ไข่ นม น้ำมันตับปลา ผักผลไม้สีเหลือง เป็นต้น
                 10. เมื่อมีความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา เช่นมองเห็นภาพไม่ชัด ตาบวม คันตา ฯลฯ ควรปรึกษาจักษุแพทย์
ที่มา www.pt.ac.th/ptweb/studentweb/body/arweb/c1/index.htm

เทคนิคการเป็นนักอ่านที่ดี

http://p2.isanook.com/ca/0/ud/181/905028/     


 การจะเป็นนักอ่านที่ดีได้นั้นต้องเริ่มพัฒนาและฝึกฝนตนเองให้เกิดลักษณะนิสัยและคุณลักษณะที่ดีของนักอ่าน มีแนวทางการฝึกดังต่อไปนี้
       1. พยายามสร้างนิสัยตนเองให้รักการอ่าน โดยพยายามอ่านหนังสือทุกประเภทที่จะให้ประโยชน์และอ่านบ่อยๆ จนเกิดเป็นนิสัย
       2. ฝึกฝนการอ่านหนังสือให้รวดเร็วและจับใจความให้ได้ วีธีการก็คือต้องใช้ช่วงสายตาให้กว้างพยายามให้ไม่มีจุดสะดุด หรือสายตาหยุดนิ่ง เพื่อจะให้อ่านได้รวดเร็ว ขณะที่อ่านก็พยายามจับใจความไปด้วย
       3. ฝึกฝนตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่าน คือ อ่านเพราะต้องรู้ อ่านเพราะความรู้ และอ่านเพราะอยากรู้ การที่จะเป็นคนเก่งกว่าหรือว่ามีความสามารถเหนือกว่าคนอื่นได้เราต้องตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านแล้วพยายามทำให้บรรลุจุดมุ่งหมายนั้นให้ได้
      4. ฝึกสังเกตส่วนประกอบของหนังสือ เช่น ปก คำนำ สารบาญ คำนิยม หัวข้อเรื่อง บรรณานุกรม จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่อ่านได้ดียิ่งขึ้น
      5. ใช้เทคนิคหรือองค์ประกอบอื่นๆ เข้าช่วย เช่น สร้างบรรยากาศ ทำจิตใจให้มีสมาธิ ใช้ประสาททุกส่วนให้ช่วยจำ ตั้งใจให้แน่วแน่ ทำอารมณ์ให้สดชื่น แจ่มใส ทำได้เท่านี้น้องๆ ก็จะเป็นนักอ่านที่ดีได้ในอนาคตแน่นอนค่ะ เพราะการอ่านเป็นพื้นฐานของความสำเร็จ
 
ที่มา : กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ, “ เคล็ดไม่ลับกับการอ่าน” ติดตาม Sanook! Campus

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

โลกนี้มีกี่ภาษา?

          จากการสำรวจ พบว่าทั่วโลกมีภาษาแตกต่างกันถึง ๕,๐๐๐ ภาษา ภาษาที่ใช้กัน มากที่สุดในโลกคือ ภาษาจีน มีคนพูดภาษานี้ ถึงพันล้านคนเศษ รองลงมาคือ ภาษาอังกฤษ ภาษาฮินดี
           ที่ปาปัวนิวกินีประเทศเดียว มีภาษาพื้นเมือง อยู่ประมาณ ๗๐๐ ภาษา ในประเทศอินเดีย มีภาษาแตกต่างกัน อย่างน้อย ๘๔๕ ภาษา เฉพาะที่รัฐอัสสัม ซึ่งอยู่ทาง ตะวันออกเฉียงเหนือ ของอินเดีย ก็มีภาษาพูด นับร้อยภาษาแล้ว &“ ซองคำถาม&” เคยรู้มาว่า มีผู้พยายาม สร้างภาษาโลก (world language) ที่คนทั้งโลก สามารถสื่อสารกันได้ โดยไม่ต้องมี กำแพงภาษา นั่นคือ ภาษาเอสเพอแรนโต (Esperanto) ผู้คิดค้นคือ นักภาษาศาสตร์ และแพทย์ชาวรัสเซีย ชื่อ ดร. แอล. ซาเมนฮอป แต่ความตั้งใจของเขา ไม่บรรลุผล

"ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม สำนักพิมพ์สารคดี"

ใครเป็นผู้ผลิตรถยนต์คันแรกขึ้นมา?

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/149/25149/images/


คาร์ล เบนซ์ เป็นผู้ให้กำเนิดรถยนตร์คันแรกของโลก
                   คาร์ล เบนซ์ พัฒนารถยนต์ 3 ล้อ ซึ่งต่อมาได้รับการรับรองว่าเป็น รถยนต์ ที่แท้จริงคันแรกปรากฏต่อสาธารณชน จากประสบการณ์และความชื่นชอบในจักรยาน เขาใช้เทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันกับการสร้างจักรยานเพื่อสร้างรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ 4 จังหวะที่ออกแบบให้อยู่ระหว่างล้อหลังทั้งสองล้อ โดยเขาได้ทดลองใช้กับรถสามล้อนับเป็นรถยนตร์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในคันแรกของโลก รถ 3 ล้อ ของเบนซ์ เป็นรถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์ เขาสร้างเจ้าสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้เสร็จสิ้นในปี ค ศ 1885 และเรียกมันว่า